Thai Nun Foundation under Queen's Patronage

สารบัญ dropdown

ระเบียบการบวชเป็นแม่ชี

ผู้ที่จะบวชต้องมีใบรับรองพร้อมหลักฐานสำเนาทะเบียนบ้าน  หรือบัตรประจำตัวประชาชน  หรือบัตรประจำตัวอย่างอื่น  (หรือทั้ง ๒ อย่าง) ต้องศึกษาในข้อธรรม  ๙ ข้อ  ให้เข้าใจ จำได้ยิ่งดี
  1. คำขอบวช
  2. คำอาราธนา  และสมาทานศีล ๘
  3. องค์ของศีล ๘ (องค์สำหรับตัดสินศีล ๘)
  4. กรรมบถ  ๑๐
  5. มารยาท ๕ (ในอิริยาบถ ๔)
  6. เมถุนสังโยค ๗
  7. สารานิยธรรม ๖
  8. อุปกิเลส ๑๖
  9. อปัณณกปฏิปทา-ธรรมที่บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ  ๑๐ อย่าง 
ข้อที่ ๑ - ๕ ต้องท่องจำและสอบทาน จึงจะบวชได้

คำขอบวช

เอสาหํ ภนฺเต สุจิรปรินิพฺพุตมฺปิ ตํ ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมญฺจ สงฺฆญฺจ ปพฺพชฺชํ มํ ภนฺเต สงฺโฆ ธาเรตุ อชฺชตคฺเค ปาณุเปตํ สรณํ คตํ.

ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอถึงสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้เสด็จดับขันธ์ ปรินิพพานนานแล้ว กับทั้งพระธรรมและพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก ขอพระสงฆ์จงจำข้าพเจ้าไว้ว่าเป็นผู้บวชในพระธรรมวินัย ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

คำอาราธนาศีล ๘

มยํ ภนฺเต ติสรเณน สห อฏฺฐ สีลานิ ยาจาม.
(ถ้าคนเดียวว่า อหํ ภนฺเต ติสรเณน สห อฏฺฐ สีลานิ ยาจามิ.)
ว่าสามครั้ง

นมการคาถา

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
(ว่า  ๓  ครั้ง)

ไตรสรณาคมน์

พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
ทุติยมฺปิ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ทุติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
ทุติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
ตติยมฺปิ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ตติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
ตติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ

(พระท่านว่า)  ติสรณคมนํ  นิฏฺฐิตํ
(รับว่า)   อาม   ภนฺเต

คำสมาทานศีล ๘

  1. ปาณาติปาตา   เวรมณีสิกฺขาปทํ   สมาทิยามิ    ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือเว้นจากฆ่าสัตว์ด้วยตนเอง และไม่ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า
  2. อทินฺนาทานา    เวรมณี    สิกฺขาปทํ    สมาทิยามิ    ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท  คือ เว้นจากลัก, ฉ้อ ของผู้อื่นด้วยตนเอง  และไม่ใช้ให้ผู้อื่นลัก, ฉ้อ
  3. อพฺรหฺมจริยา    เวรมณีสิกฺขาปทํ   สมาทิยามิ    ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท  คือเว้นจากอสัทธรรม   กรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์
  4. มุสาวาทา    เวรมณีสิกฺขาปทํ   สมาทิยามิ      ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท   คือ เว้นจากพูดเท็จ  คำไม่เป็นจริงและคำล่อลวงอำพลางผู้อื่น
  5. สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา  เวรมณีสิกฺขาปทํ   สมาทิยามิ        ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท  คือ เว้นจากการดื่มกินสุราและเมรัย เครื่องดองของทำใจให้คลั่งไคล้ต่างๆ
  6. วิกาลโภชนา    เวรมณีสิกฺขาปทํ   สมาทิยามิ    ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท   คือ เว้นจากบริโภคอาหารในเวลาวิกาล
  7. นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนมาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺฐานา  เวรมณีสิกฺขาปทํ   สมาทิยามิ ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท  คือ เว้นจากดูฟังฟ้อนรำขับร้องและประโคมเครื่องดนตรีต่างๆ และดูการเล่นที่เป็นข้าศึกแก่กุศลและทัดทรงตบแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับและดอกไม้ของหอมเครื่องทา   เครื่องย้อมผัดผิวให้งามต่างๆ
  8. อุจฺจาสยนมหาสยนา   เวรมณีสิกฺขาปทํ   สมาทิยามิ    ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท  คือเว้นจากนั่ง  นอนเหนือเตียงตั่ง  มีเท้าสูงเกินประมาณ และที่นั่ง ที่นอนอันสูงใหญ่ภายในใส่นุ่นและสำลี  อาสนะอันวิจิตรไปด้วยลวดลายงามด้วยเงินทองต่างๆ

    อิมานิ อฏฺฐสิกฺขาปทานิ สมาทิยามิ (ว่า ๓ ครั้ง)

องค์ของศีล ๘

(องค์สำหรับตัดสินศีล ๘)

ปาณาติบาต มีองค์ ๕ ประการคือ


ปาโณ                สัตว์มีชีวิตหนึ่ง

ปาณสญฺญิตา                ตนรู้อยู่ว่าสัตว์มีชีวิตหนึ่ง

วธกจิตฺตํ                จิตคิดจะฆ่าหนึ่ง

อุปกฺกโม                ทำความเพียรเพื่อจะฆ่าหนึ่ง

เตน   มรณํ                สัตว์ตายด้วยความเพียรนั้นหนึ่ง

อทินนาทาน มีองค์  ๕  ประการคือ


ปรปริคฺคหิตํ            พัสดุนั้นเป็นของผู้อื่นหวงแหนหนึ่ง

ปรปริคฺคหิตสญฺญิตา            ตนรู้อยู่ว่าพัสดุนั้นเป็นของผู้อื่นหวงแหนหนึ่ง

เถยฺยจิตฺตํ                จิตคิดจะลักหนึ่ง

อุปกฺกโม                ทำความเพียรเพื่อจะลักหนึ่ง

เตน   หรณํ                นำสิ่งของมาด้วยความเพียรนั้นหนึ่ง

อพฺรหมจริยา มีองค์ ๔ ประการคือ


ติณฺณมคฺคานํ   อญฺญตรโต    วัตถุอันตนประพฤติผิดในมรรคทั้งสามมรรคใดมรรคหนึ่งเป็นต้นหนึ่ง

ตสฺมึ     เสวนจิตฺตํ            จิตคิดจะเสพในมรรคทั้งสามนั้นหนึ่ง

ตชฺโช    วายาโม                ทำความเพียรเพื่อจะเสพหนึ่ง

มคฺเคน   มคฺคปฏิปตฺติ            เสพทำมรรคต่อมรรคให้ถึงกันนั้นหนึ่ง

มุสาวาท มีองค์  ๔  ประการคือ


อตถํ    วตฺถุ            วัตถุที่กล่าวนั้นไม่จริงหนึ่ง

วิสงฺวาทน    จิตฺตํ                จิตคิดจะกล่าวให้คลาดหนึ่ง

ตชฺโช     วายาโม                เพียรกล่าวปลดออกไปหนึ่ง

ปรสฺส    ตทตฺถวิชานนํ            ความที่ผู้อื่นรู้แจ้งเนื้อความนั้นหนึ่ง

สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา มีองค์  ๔  ประการคือ


มชฺชภาโว            ความเป็นน้ำเมามีสุราเป็นต้นหนึ่ง

ปาตุกมฺมยตาจิตฺตํ            จิตคิดจะดื่มกินซึ่งน้ำเมานั้นหนึ่ง

ตชฺโช   วายาโม                พยายามเพื่อจะดื่มกินซึ่งน้ำเมานั้นหนึ่ง

ตสฺส    ปานํ                ดื่มให้ไหลล่วงลำคอเข้าไปหนึ่ง

วิกาลโภชน์ มีองค์  ๔  ประการคือ


วิกาลกตา            ตะวันล่วง(เลย)เที่ยงไปแล้วหนึ่ง

ยาวกาลิกตา                อาหารและลูกไม้เป็นของเคี้ยว และของกัด (ประเภทอาหาร) หนึ่ง

อชฺโช    หรณปโยโค            ประโยคเพื่อจะกลืนกินหนึ่ง

เตน    อชฺฌาหรณํ            กลืนให้ไหลล่วงลำคอเข้าไปหนึ่ง

นัจจคีตฯ มีองค์  ๓  ประการคือ


นจฺจคีตวาทิตา                  การเล่นมีการฟ้อนรำขับร้องเป็นต้นหนึ่ง

ทสฺสนตฺถายคมนา                  เพียรไปเพื่อจะดูจะฟังหนึ่ง

ทสฺสนํ   วา   สวนํ   วา               ได้เห็นหรือได้ยินหนึ่ง

มาลาฯ มีองค์  ๓  ประการคือ


มาลาทีนํ    อญฺญตรตา          ดอกไม้ของหอมเครื่องทาเครื่องย้อมและเครื่องประดับต่างๆหนึ่ง

อนุญฺญาตการณาภาโว                   ไม่มีเหตุเจ็บไข้ที่พระพุทธเจ้าทรง อนุญาตหนึ่ง

อลงฺกตภาโว                ทัดทรงตบแต่งด้วยจิตคิดจะให้งามหนึ่ง

อุจจาสยนฯ มีองค์  ๓  ประการคือ


อุจฺจาสยนมหาสยนา             อาสนะที่นั่งที่นอนสูงใหญ่เกินประมาณ ภายในใส่นุ่นสำลีและวิจิตรงามต่างๆ หนึ่ง           

ปริโภคจิตฺตํ                จิตคิดจะบริโภคนั่งนอนหนึ่ง

ปริโภคกรณํ                ทำความบริโภคนั่งนอนลงหนึ่ง

อกุศลกรรมบถ  ๑๐

กายกรรม ๓  วจีกรรม  ๔  มโนกรรม ๓ รวมเป็น ๑๐

กายกรรม ๓  คือ


ปาณาติบาต      ฆ่าสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไปหนึ่ง

อทินนาทาน      ถือเอาพัสดุสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ให้หนึ่ง   

กาเมสุมิจฉาจาร     ความประพฤติผิดในกามทั้งหลายหนึ่ง

วจีกรรม  ๔ คือ


มุสาวาท      กล่าวคำเท็จอำพลางผู้อื่นหนึ่ง

ปิสุณาวาจา      กล่าวคำส่อเสียดให้เขาแตกร้าวกันหนึ่ง   

ผรุสวาจา      กล่าวคำหยาบหนึ่ง

สัมผัปปลาปะ      กล่าวคำพร่ำเพ้อเจ้อ  โปรยเสียซึ่งประโยชน์หนึ่ง

มโนกรรม ๓  คือ


อภิชฌา          คิดเพ่งเฉพาะในพัสดุของผู้อื่นหนึ่ง

พยาปาทะ      โทสะวิกาล  คิดแช่งสัตว์ให้พินาศหนึ่ง

มิจฉาทิฏฐิ      ความเห็นผิดจากสภาพที่จริงแท้หนึ่ง


เป็นอกุศลกรรมบถ ๑๐  ควรละเสีย ส่วนที่ตรงกันข้ามทั้ง ๑๐ เป็นกุศล  ควรเจริญให้มีขึ้นทั้ง ๑๐ อย่าง




มารยาท ๕ (ในอิริยาบถ ๔)

  1. ว่าด้วยการยืน  เราจะไม่ยืนหน้าหรือที่สูงกว่าผู้ที่บวชมาก่อนตน  เว้นไว้แต่มีเหตุจำเป็นก็สมควรยืนมีสติ  สำรวมกายให้เรียบร้อย
  2. ว่าด้วยการเดิน  เราจักไม่เดินหน้าผู้ที่บวชก่อน  ไม่เดินเป็นหมู่กัน  ไม่จำเป็นแล้วไม่เดินเหลียวแลซ้ายขวา  หรือเดินพลางพูดพลาง  ถ้าจะไปแรมคืนต้องลาท่านผู้เป็นหัวหน้าหรือผู้ใหญ่เสียก่อน  ถ้าขัดข้องหรือไม่มีโอกาส  ต้องบอกเพื่อนพรหมจรรย์ให้ทราบ  และหากไปไม่แรมคืนก็ควรบอกเพื่อนพรหมจรรย์ให้ทราบไว้ด้วย ไม่จำเป็นแล้วไม่เดินทางผู้เดียวต้องมีเพื่อนพรหมจรรย์หรือสตรีอื่นที่รู้ความไปด้วยเดินมีสติ  สำรวมกายให้เรียบร้อย
  3. ว่าด้วยการนั่ง  ไม่นั่งหน้าผู้ที่บวชมาก่อนตนเมื่อตนนั่งอยู่ถ้ามีผู้บวชก่อนมา  ก็ต้องถอยที่ให้นั่ง  ทั้งไม่นั่งกั้นทางเดินไปมานั่งให้เป็นหมวดเป็นหมู่กัน  นั่งมีสติสำรวมกายให้เรียบร้อย
  4. ว่าด้วยการนอน  ไม่นอนเกะกะ  ถ้าหลายรูปก็ให้นอนเป็นแถวกัน   ไม่กลับศีรษะกัน  ไม่จำเป็นแล้วไม่นอนมุ้งเดียวเสื่อผืนเดียวและผ้าห่มผืนเดียวกัน  ถ้าจำเป็นแล้วนอนได้เพียง ๓ คืนเป็นอย่างมาก  นอนโดยจำเป็นต้องระวังอย่าให้ถูกตัวกัน  เมื่อจะนอนปิดประตูเสียก่อนจึงนอน  กลางคืนต้องใส่กลอน  ทั้งต้องนอนสำรวมกายให้เรียบร้อย
  5. ว่าด้วยการพูด  ไม่ชิงผู้ใหญ่ที่บวชก่อนตนพูด  ไม่พูดจากลบเกลื่อนผู้ที่บวชก่อนตักเตือนตนหรือผู้อื่นอยู่ ไม่พูดจาข่มขี่ดุดัน  ไม่ชิงพูดประสานเสียงกัน  ควรพูดคำที่อ่อนหวานควรฟังคือถ้อยคำที่เป็นประโยชน์สอง  (ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน)  ไม่พูดกับบุรุษเกินกว่า  ๖  คำ  โดยไม่มีเพื่อนพรหมจรรย์หรือสตรีอื่นที่รู้ความได้ยินด้วย  ไม่รับสิ่งของกับมือบุรุษโดยตรงและไม่ถูกต้องกระทบกายบุรุษ (บุรุษทุกวัยทุกเพศ แม้เป็นญาติ)

    ผู้ใหญ่ในที่นี้  ประสงค์ผู้ที่บวชมาก่อนตน  ถ้าผู้บวชที่หลัง  แต่มีความรู้และความสามารถในธรรม  ได้รับความยกย่องจากท่านที่เป็นหัวหน้าและที่ประชุมแล้ว  ก็นับว่าเป็นผู้ใหญ่กว่า  ต้องยกย่องความรู้ความสามารถเป็นผู้ใหญ่

สังโยค ๗

อนึ่ง  ผู้ประพฤติในเมถุนวิรัติ  ไม่เสพเมถุน เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ให้พึงรู้ว่า  พรหมจรรย์จะเศร้าหมองด้วยเมถุนสังโยค  ๗ คือ
  1. จิตกำหนัดยินดีในเมถุนแล้ว  ใช้สตรี  บุรุษ  ให้ปฏิบัตินวดเฟ้นและพัดวี
  2. จิตกำหนัดยินดีในเมถุนแล้ว  ยิ้มแย้มหัวเราะล้อเลียนกับด้วยสตรีบุรุษ
  3. เพ่งตาต่อตาของสตรี  บุรุษ  ด้วยจิตกำหนัดในเมถุนธรรม
  4. ได้ยินเสียงสตรี บุรุษขับร้อง  เจรจา  เกิดความกำหนัดยินดีด้วยเมถุนราคะ
  5. ได้เห็นหรือได้ยิน  สตรีกับบุรุษบำเรอกันด้วยกามคุณ    ด้วยอาการต่างๆ  ก็เกิดกามราคะกำหนัดในเมถุน
  6. ตน  แต่ก่อนได้พูดจาแทะโลม สัมผัสกันด้วยสตรี  ด้วยบุรุษ  และคิดถึงเรื่องความแต่ก่อนนั้น  ก็เกิดกามราคะกำหนัดยินดีในเมถุนธรรม
  7. ตน  ได้ทำบุญกุศลอันใดอันหนึ่งไว้  ปรารถนาจะเกิดเป็นเทวดาเสวยสมบัติ  คือ กามคุณอันเป็นทิพย์  ผู้หวังความสุขความเจริญแก่ตน  ควรปฏิบัติให้ไกลจากเมถุนสังโยค  ๗  นี้

สาราณิยธรรม  ๖  อย่าง

ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึง  เรียกว่าสาราณิยธรรม ๖ อย่าง
  1.  เข้าไปกายกรรม  ประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งต่อหน้าและลับหลัง  คือช่วยขวนขวายในกิจธุระของเพื่อนด้วยกาย  มีพยาบาลเพื่อนพรหมจรรย์ที่เป็นไข้เป็นต้น  ด้วยจิตเมตตา
  2. เข้าไปตั้งวจีกรรม  ประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งต่อหน้าและลับหลัง  ด้วยวาจา เช่น กล่าวคำสั่งสอนเป็นต้น  ด้วยจิตเมตตา
  3. เข้าไปตั้งมโนกรรม   ประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งต่อหน้าและลับหลัง  คือคิดแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่เพื่อนกัน
  4. แบ่งปันลาภที่ตนได้มาแล้วโดยชอบธรรมให้แก่เพื่อนกัน  ไม่หวงไว้บริโภคแต่ผู้เดียว
  5. รักษาศีลบริสุทธิ์เสมอกันกับเพื่อนพรหมจรรย์อื่นๆ  ไม่ทำตนให้เป็นที่รังเกียจของผู้อื่น
  6. มีความเห็นร่วมกันกับเพื่อนพรหมจรรย์อื่นๆ ไม่วิวาทกับใครๆ เพราะมีความเห็นผิดกัน
ธรรมทั้ง  ๖  อย่างนี้  ทำผู้ประพฤติให้เป็นที่รักที่เคารพของผู้อื่นเป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กันและกันเป็นไปเพื่อความพร้อมเพรียงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

อุปกิเลส  ๑๖

(เครื่องทำใจให้เศร้าหมอง)
  1. อภิชฺฌาวิสมโลโภ    ความโลภเพ่งเล็งอยากได้ของเขา
  2. โทโส             ความประทุษร้ายเขา
  3. โกโธ             ความโกรธเคืองเขา
  4. อุปนาโห         ความผูกเวรหมายมั่นกัน
  5. มกฺโข             ความลบหลู่ดูถูกเขา
  6. ปลาโส             ความยกตัวขึ้นเทียมเขา
  7. อิสฺสา             ความริษยาเขา
  8. มจฺฉริยํ             ความตระหนี่เหนียวแน่นเกียจกันหวงเข้าของ และวิชาความรู้ที่อยู่ที่อาศัย
  9. มายา             ความเป็นคนเจ้าเล่ห์เจ้ากล
  10. สาเถยฺยํ             ความโอ้อวดตัวให้ยิ่งกว่าคุณที่มีอยู่
  11. ถมฺโภ                ความแข็งกระด้างดื้อดึงเมื่อเขาว่ากล่าวโดยธรรมโดยชอบ
  12. สารมฺโภ             ความปรารภไม่ยอมตาม  ซักเหตุผลมาอ้างทุ่มเถียงต่างๆ เมื่อขณะเขาว่า  กล่าวโดยธรรมโดยชอบ
  13. มาโน                ความเย่อหยิ่งถือเราถือเขาถือตัวถือตน
  14. อติมาโน           ความดูถูกล่วงเกินผู้อื่น
  15. มโท                 ความเมาหลงในร่างกายที่ทรุดโทรมด้วยความชรามีอยู่ทุกวันๆ มาสำคัญว่ายังหนุ่มสาวอยู่ ประมาทไป  และเมาหลงในร่างกายที่ป่วยไข้อยู่เป็นนิจต้องกินยา คือ ข้าวน้ำทุกเช้าค่ำ  มาสำคัญว่าไม่มีโรคเป็นสุขสบาย ประมาทไป และเมาหลงชีวิตเป็นของไม่เที่ยงพลันดับไป  ดังประทีปจุดไว้ในที่แจ้งฉะนั้น  มาสำคัญว่ายังไม่ตาย ประมาทไป
  16. ปมาโท             ความเมามัวทั่วไป  อารมณ์อันใดที่น่ารักก็ไปหลงรักในอารมณ์เหล่านั้น อารมณ์อันใดที่น่าชังก็ไปหลงชิงชังโกรธต่ออารมณ์เหล่านั้น  บรรจบเป็นอุปกิเลสเครื่องเศร้าหมองใจ  ๑๖ ข้อ   จิตเศร้าหมองด้วยอุปกิเลสข้อใดข้อหนึ่งดังว่ามานี้แล้ว  จิตนั้นล้วนเป็นบาปอกุศลหมดทั้งสิ้น

อปัณณกปฏิปทา

คือข้อปฏิบัติไม่ผิด  ๓ อย่าง
  1. อินทรีย์สังวร  สำรวมอินทรีย์ ๖  คือตา  หู   จมูก   ลิ้น   กาย  ใจ  ไม่ให้ยินดียินร้ายในเวลาเห็นรูป  ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรสถูกต้องโผฏฐัพพะ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ
  2. โภชเน  มัตตัญญุตา   รู้จักประมาณในการกินอาหารแต่พอสมควร  ไม่มาก  ไม่น้อย
  3. ชาคริยานุโยค   ประกอบความเพียรเพื่อจะชำระใจให้หมดจดไม่เห็นแก่นอนมากนัก

ธรรมที่บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ๑๐  อย่าง

(ธรรมที่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ควรพิจารณาเนื่องๆ ๑๐   อย่าง)
  1. บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ว่า  บัดนี้เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้วอาการกิริยาใดๆ  ของสมณะเราต้องทำอาการกิริยานั้นๆ
  2. บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ว่า ความเลี้ยงชีวิตของเราเนื่องด้วยผู้อื่นเราควรทำตัวให้เขาเลี้ยงง่าย
  3. บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ว่า อาการกาย  วาจา  อย่างอื่นที่เราจะต้องทำให้ดีขึ้นไปกว่านี้ยังมีอยู่อีก ไม่ใช่แต่เพียงเท่านี้
  4. บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ว่า  ตัวของเราเอง  ติเตียนตัวเราเองโดยศีลได้หรือไม่
  5. บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ว่า  ผู้รู้ใคร่ครวญแล้ว ติเตียนเราได้โดยศีลหรือไม่
  6. บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ว่า  เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งนั้น
  7. บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ว่า  เรามีกรรมเป็นของๆ ตัว   เราทำดีจักได้ดี  ทำชั่วจักได้ชั่ว
  8. บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ว่า  วันคืนล่วงไปๆ  บัดนี้เราทำอะไรอยู่
  9. บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ว่า   เรายินดีในที่สงัดหรือไม่
  10. บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ว่า คุณวิเศษของเรามีอยู่หรือไม่  ที่จะทำให้เราเป็นผู้ไม่เก้อเขินในเวลาเพื่อนบรรพชิตมาถาม  ในภายหลัง

การบวช

ต้องมีใบสมัครขอบวชและใบรับรองให้บวช   บวชโดยพระภิกษุเจ้าอาวาสหรือพระภิกษุที่เจ้าอาวาส  มอบหมาย  มีพระภิกษุ    แม่ชี  เป็นสักขีพยาน ตามความเหมาะสม พระผู้บวชให้ต้องออกใบรับรองการบวชให้ด้วย

เมื่อบวชแล้วต้องเอาใจใส่ในการท่องสวดมนต์   ต้องเข้าประชุมทำวัตรเช้า  เย็น วันธัมมัสสวนะต้องลงประชุมสมาทานศีล ๘ ทบทวนองค์สำหรับตัดสินกรรมบถ ๑๐  แสดงโทษและฟังโอวาทในวันพระใหญ่ ต้องเรียนธรรมศึกษาเป็นอันดับแรก เรียนบาลี อภิธรรม หรือวิชาอื่นที่เหมาะสมแก่ภาวะแม่ชี

หมายเหตุ

ควรศึกษาระเบียบปฏิบัติของสถาบันแม่ชีไทยเพิ่มเติม


(ตัวอย่าง)

ใบรับรองผู้สมัครขอบวช


เขียนที่ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

วันที่_  _ _ เดือน _ _ _ _ _ พ.ศ.๒๕ _ _

ข้าพเจ้า _ _ _ _ _ _ _ _ _ นามสกุล _ _ _ _ _ _ _

อายุ _ _ _ อาชีพ _ _ _ _ _ _ _ _ ตำแหน่ง _ _ _ _ _ _ _ _
หลักฐาน _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _
บ้านเลขที่ _ _ _ _ หมู่ที่ _ _ _ _ _ ตำบล _ _ _ _ _ _ _ _ _
อำเภอ _ _ _ _ _ _ _ _ _ จังหวัด _ _ _ _ _ _ _

เกี่ยวข้องกับผู้จะบวชชีโดยเป็น _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ จึงขอถวายคำรับรองไว้กับท่านเจ้าอาวาสหรือเจ้าสำนักดังต่อไปนี้

ก. นางหรือนางสาว _ _ _ _  _ _ _ _  _  _ _ _ _  _ _ _ _ _
  1. มีความประพฤติดี  มีสุขภาพดี
  2. มีอาชีพเป็นหลักฐาน
  3. มิได้มีหนี้สินผูกพัน
  4. มิได้เป็นหญิงมีครรภ์หรือลุกอ่อน
  5. มิได้หลบหนีราชการหรือทางบ้านมา
  6. มิได้เป็นคนพิการ
  7. มิได้มีความผิดทางอาญาอย่างใด
  8. ไม่ติดสิ่งเสพติดทุกชนิด
  9. มิได้เป็นกระเทย มิได้เป็นโรคที่ต้องห้าม
  10. ได้รับอนุญาตจากมารดา  บิดา สามี หรือผู้ปกครอง
ข. ถ้าปรากฏภายหลังว่านางหรือนางสาว _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ มิได้เป็นความจริงตามที่ข้าพเจ้ารับรองไว้ ข้าพเจ้าขอยอมรับผิดทั้งสิ้น  และหากต่อไปปรากฏว่าเป็นผู้ประพฤติล่วงละเมิดระเบียบวินัยของหมู่คณะเนืองๆ หรือมักดื้อดึงไม่ตั้งอยู่ในโอวาท เหลือวิสัยที่จะอบรมสั่งสอนต่อไป  ข้าพเจ้ายินดีรับคืนหรือปฏิบัติตามความประสงค์ของท่านทันที ข้าพเจ้าเข้าใจข้อความนี้ตลอดแล้ว  จึงลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญต่อหน้าพยานข้างท้ายนี้

    ลงชื่อ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _  _ _ _ _ ผู้รับรอง

    ลงชื่อ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _  _ _ _ _ พยาน

    ลงชื่อ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _  _ _ _ _ พยาน



ใบสมัครขอบวช


เขียนที่ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

วันที่ _ _ _ เดือน _ _ _ _ _ พ.ศ.๒๕ _ _

ข้าพเจ้า _ _ _ _ _ _ _ _ _ นามสกุล _ _ _ _ _ _ _

เกิดที่บ้าน _ _ _ _ _ ตำบล _ _ _ _ _ อำเภอ _ _ _ _ _ _

จังหวัด _ _ _ _ _ _ _

เมื่อวันที่ _ _ _ เดือน_ _ _ _ _ _ พ.ศ.๒๕_ _ _

ตรงกับวัน _ _ _ ฯ  _ _ _    ปี _ _ _ นามมารดา _ _ _ _  นามบิดา _ _ _ _ สัณฐาน _ _ _ _

สีผิว _ _ _ ตำหนิ _ _ _ _ _ _ วิทยะฐานะ _ _ _ _ _ _ _ อาชีพ _ _ _ _ ปัจจุบันอายุ _ _ _ ปี

มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ _ _ _ หมู่ที่ _ _ _ ตำบล _ _ _ _
อำเภอ _ _ _ _ _ _ _ _ _ จังหวัด _ _ _ _ _ _ _

    ข้าพเจ้ามีความศรัทธาเลื่อมใส ขอสมัครบวชเป็นชีในพระพุทธศาสนา  จึงขอมอบตัวเป็นศิษย์ของท่านผู้ปกครองและคณะกรรมการสำนัก _ _ _ _ _ _  สังกัดอยู่ในสำนัก _ _ _ _ _ ซึ่งมี _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ เป็นเจ้าสำนัก  โดยขอปฏิญญา  ดังต่อไปนี้:-

ข้อ ๑. ข้าพเจ้าขอปฏิญญาว่า  ข้าพเจ้าเป็นผู้มีคุณลักษณะควรแก่การบวช คือ ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์เพศหญิงมิได้มีครรภ์หรือลูกอ่อน, เป็นผู้มีความประพฤติดี, มีสุขภาพดี, ไม่เป็นหนี้  ไม่ติดสิ่งเสพติดทุกชนิด, ไม่ได้หลบหนีราชการหรือทางบ้านมา, ไม่มีคดีทางอาญา, ไม่เป็นโรคร้ายแรงหรือโรคติดต่อที่สังคมรังเกียจ, ไม่เป็นคนพิกลพิการหรือทุพพลภาพ, ได้รับอนุญาตจากมารดาบิดาสามีหรือผู้ปกครองแล้ว

 ข้อ ๒. ข้าพเจ้าขอปฏิญญาว่า  เมื่อได้บวชแล้ว  จะเคารพนับถือเชื่อฟังตั้งอยู่ในโอวาทของพระอุปัชฌาย์  ครู อาจารย์  ตลอดจนท่านผู้ปกครองและคณะกรรมการ และจะประพฤติดีประพฤติชอบตามพระธรรมวินัย หรือระเบียบปฏิบัติของสำนักตลอดไป  ถ้าข้าพเจ้าล่วงละเมิดข้อปฏิบัติดังกล่าวแล้วข้างต้น  ข้าพเจ้าขอยอมรับโทษตามควรแก่ความผิดทุกประการ

    ขอได้โปรดกรุณาให้ข้าพเจ้าได้บวชในพระพุทธศาสนาด้วย  เทอญ.

    ลงนาม_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ผู้สมัครขอบวช



รูปแบบแม่ชี

โกนผม โกนคิ้ว เดือนละ ๑  ครั้ง ลบคิ้วถาวร  ตัดเล็บ  เครื่องนุ่งห่ม  แบบเดียวกัน และสีขาว  เสื้อชั้นในแขนเดียวอยู่ด้านซ้าย  ไม่ใช้เสื้อยกทรง  เสื้อนอกคอกลมชิดคอ แขน  ๓ ส่วน   ผ้านุ่ง   ผ้าถุงธรรมดา  ไม่ใช้ผ้าลูกไม้ติดเครื่องนุ่งห่ม   ผ้าผลัดอาบน้ำใช้สีน้ำตาลอ่อน  ไม่นำเครื่องแต่งตัวของฆราวาสมาแต่ง   แม้จะเป็นการทดลอง



คำมอบตัว

    ดิฉันขอมอบตัวเป็นศิษย์ของท่าน  หากดิฉันมีความประพฤติไม่สมควรด้วยประการใดๆ ดิฉันปวารณาตัว  ขอให้ท่านกรุณาตักเตือนว่ากล่าวสั่งสอนดิฉัน  เมื่อดิฉันพิจารณาเห็นโทษแล้ว  จักได้สำรวมระวังต่อไป หากท่านมีกิจธุระจำเป็นสิ่งไร   โปรดเรียกใช้สอยได้ตามสมควร

อธิบาย

คำมอบตัวนี้  ใช้สำหรับผู้ที่บวชใหม่  และผู้ที่มาอยู่ใหม่  หรือผู้น้อยให้นำเครื่องสักการะไปแสดงความเคารพท่านผู้เป็นหัวหน้า    รองหัวหน้าและคณะกรรมการของสำนัก   และแม่ชีที่เคารพนับถือ  แล้วกล่าวคำมอบตัว.

ข้อที่แม่ชีควรคิดคำนึง

  1. แม่ชีไม่ควรกราบ-ไหว้คฤหัสถ์  (เพราะอานุภาพแห่งศีลที่ปฏิบัติ) ควรจะรับไหว้  และอานวยพรตามสมควร
  2. แม่ชีไม่ควรนั่งร่วมวงอาหารกับผู้มิใช่แม่ชีด้วยกันแม้เนกขัมมนารี (ธรรมจารณี) ก็ต้องจัดต่างหาก
  3. แม่ชีไม่ควรอุ้มชูเด็กทั้งเล็กและโตไม่ว่าหญิงหรือชาย เพราะมิใช่วิสัยของผู้ทรงศีล
  4. แม่ชีไม่ควรจ่ายของที่เป็นประเภทอาหารในเวลาวิกาล เพราะมิใช่วิสัยของผู้ทรงศีลที่จะต้องกระทำ
  5. เวลานั่งรถ  นั่งเรือ  ควรจะพิจารณาให้มากๆ ไม่สมควรนั่งชิดกับเพศตรงข้าม  ควรจะพิจารณาให้มากๆ ควรจะหลีกให้มากๆ และในกาลทุกเมื่อก็ควรจะหลีกเช่นนั้นเสมอๆ

อสชฺฌายมลา   มนฺตา
มนต์มีการไม่ท่องบ่น  เป็นมลทิน

จาก ขุททกนิกาย ธรรมบทคาถา

หัวใจพระพุทธศาสนา

สพฺพปาปสฺส  อกรณํ
กุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยธปนํ
เอตํ พุทฺธานสาสนํ

การไม่ทำบาปทั้งปวง  หนึ่ง
การยังกุศลให้ถึงพร้อม  หนึ่ง
การชำระจิตของตนให้ผ่องใส หนึ่ง
ทั้ง ๓  อย่างนี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าหลาย